รายงานห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมเครื่องสำอางในประเทศไทยในปัจจุบัน (พ.ศ. 2568)
กับบทบาทและผลกระทบของผู้ตรวจสอบคุณภาพอิสระ (IQAVs, Independent Quality Assurance Verifiers) ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของไทย รวมถึงแนวโน้มล่าสุด การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบ ความท้าทายของอุตสาหกรรม และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
บทนำของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางประเทศไทย
อุตสาหกรรมเครื่องสำอางในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นส่วนหนึ่งของตลาดสุขภาพและความงามที่มีมูลค่าประมาณ 2.58 แสนล้านบาทในปี 2023 (พ.ศ. 2566) หลังจากวิกฤติโควิด-19 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความตระหนักในเรื่องสุขภาพของผู้บริโภคได้เร่งความต้องการในสินค้าประเภทสกินแคร์ แชมพู และสินค้าส่วนบุคคลอื่น ๆ ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะเป็น “ศูนย์กลางความงามแห่งอาเซียน” ภายใต้แผนเศรษฐกิจ ประเทศไทย 4.0 (Thailand 4.0) ทำให้เกิดความสนใจในความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทานและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ หนึ่งในประเด็นสำคัญคือบทบาทของ ผู้ตรวจสอบคุณภาพอิสระ (IQAVs, Independent Quality Assurance Verifiers) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ ทดสอบ และประกันมาตรฐานคุณภาพในห่วงโซ่อุปทานเครื่องสำอาง รายงานนี้จะสำรวจสถานะปัจจุบันของห่วงโซ่อุปทานเครื่องสำอางในไทยและวิธีที่ IQAVs กำลังมีอิทธิพลต่อมาตรฐานคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา
ภาพรวมของห่วงโซ่อุปทานเครื่องสำอางในประเทศไทย
ห่วงโซ่อุปทานเครื่องสำอางในไทยครอบคลุมทุกขั้นตอนตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ (โดยเฉพาะวัตถุดิบธรรมชาติที่มีอยู่ในไทย) การผลิต (ตั้งแต่ผู้ผลิตรายเล็กไปจนถึงบริษัทรายใหญ่ข้ามชาติ) การกระจายสินค้าไปยังช่องทางส่งออกและค้าปลีก รวมถึงการติดตามผลหลังการขาย ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีทุกองค์ประกอบของห่วงโซ่การผลิต แต่ก็ยังพบความท้าทายในด้านประสิทธิภาพและความสม่ำเสมอ
ตัวอย่างเช่น การควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบและขั้นตอนการผลิตยังมีความแตกต่างกันระหว่างผู้ผลิตต่าง ๆ ในขณะที่ขั้นตอนการกระจายสินค้ามีความแข็งแกร่งขึ้นเนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานและบริการโลจิสติกส์ที่มีการแข่งขัน
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก ในห่วงโซ่นี้ ได้แก่:
- ผู้ผลิต: ตั้งแต่บริษัทขนาดใหญ่ที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ Good Manufacturing Practice (GMP) ไปจนถึงผู้ผลิตรายย่อยที่ทำสัญญาผลิต (OEM, Original Equipment Manufacturer) สำหรับแบรนด์อื่น ๆ
- ซัพพลายเออร์: ผู้จัดหาวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ ประเทศไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเป็นจุดแข็งในการผลิตเครื่องสำอางเพื่อความยั่งยืน
- หน่วยงานกำกับดูแล: เช่น องค์การอาหารและยาไทย (อย., Thai FDA, Food and Drug Administration) ภายใต้กระทรวงสาธารณสุข และ สถาบันมาตรฐานผลิตไทย (สมอ., TISI, Thai Industrial Standards Institute) ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ที่ทำงานทั้งในด้านบังคับใช้กฎระเบียบและส่งเสริมมาตรฐานคุณภาพ
- สมาคมอุตสาหกรรม: เช่น สมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS, Thai Cosmetic Cluster Trade Association) และ สมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย (Thai Cosmetic Manufacturers Association) ซึ่งร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือและการพัฒนามาตรฐานของอุตสาหกรรม
- ผู้จัดจำหน่ายและค้าปลีก: ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ร้านเครื่องสำอางเฉพาะทาง หรือช่องทางออนไลน์ (e-commerce) ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ผู้บริโภค: ที่มีความใส่ใจในส่วนประกอบและคุณภาพของสินค้าเป็นอย่างมาก
กรอบกฎระเบียบของไทยสำหรับเครื่องสำอางมีรากฐานมาจาก พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558
(Cosmetics Act B.E. 2558, 2015) ซึ่งปรับให้สอดคล้องกับแนวทางของอาเซียน โดยเน้นการตรวจสอบหลังการวางจำหน่าย แทนการอนุมัติก่อนเข้าตลาด ซึ่งหมายความว่าบริษัทผู้ผลิตต้องรับผิดชอบในการประกันความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง ในขณะที่ อย. (Thai FDA) ทำการตรวจสอบและติดตามตลาดอยู่ในเบื้องหลัง อย่างไรก็ตาม ระบบการควบคุมตนเองของผู้ผลิตมีข้อบกพร่องในบางด้าน เช่น การตรวจสอบความถูกต้องของส่วนประกอบหรือปริมาณที่ระบุในฉลาก
แนวโน้มของตลาดในปัจจุบัน
มีแนวโน้มหลายประการที่กำลังเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานเครื่องสำอางในไทยและมีผลต่อความต้องการความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้า ดังนี้:
- การฟื้นตัวหลังโควิด-19: หลังจากช่วงที่เศรษฐกิจถูกผลกระทบในช่วงวิกฤติ เครื่องสำอางในไทยได้กลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงปี 2022–2024 ยอดนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องสำอางที่มีมูลค่าสูงขึ้นและการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการฟื้นตัวของตลาด
- การเปลี่ยนแปลงของส่วนผสมสินค้า: สกินแคร์ยังคงครองตลาดประมาณ 60% ของมูลค่ารวม ในขณะที่เครื่องสำอางที่เคยประสบปัญหาลงในช่วงโควิดเริ่มกลับมาฟื้นตัวใหม่ โดยเฉพาะเครื่องสำอางสำหรับผู้ชายและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล
- ความต้องการสินค้าสุขภาพและความเป็นธรรมชาติ: ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับส่วนผสมที่บริสุทธิ์และปลอดภัย สินค้าที่มีคุณสมบัติเป็น “ออร์แกนิก (Organic)” หรือ “ธรรมชาติ (Natural)” มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว
- การรับรองฮาลาล (Halal Certification) และการรับรองพิเศษ: ด้วยความต้องการจากตลาดมุสลิมในภูมิภาค บริษัทไทยจึงเริ่มขยายสายผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฮาลาล ซึ่งมักรวมถึงการตรวจสอบและทดสอบคุณภาพที่เข้มงวด
- การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลและช่องทางการขายหลายช่องทาง: การขายออนไลน์และการตลาดผ่านสื่อสังคมมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ทั้งยังเป็นช่องทางที่ท้าทายในการควบคุมคุณภาพและการติดตามความน่าเชื่อถือของสินค้า
- การให้ความรู้และประสบการณ์ผู้บริโภค: ผู้บริโภคในยุคนี้ต้องการความโปร่งใสในข้อมูลสินค้าและมักใช้เทคโนโลยีเช่น QR Code เพื่อตรวจสอบที่มาของสินค้า ซึ่งส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานต้องสามารถให้ข้อมูลที่ตรวจสอบได้จริง
การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบและมาตรฐานคุณภาพ (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566)
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กฎระเบียบและมาตรฐานคุณภาพในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของไทยได้รับการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อเสริมความปลอดภัยของผู้บริโภคและยกระดับคุณภาพสินค้า โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:
- มาตรฐานผลิตภัณฑ์ไทย (TIS, Thai Industrial Standards): ในเดือนตุลาคม 2024 (พ.ศ. 2567)กระทรวงอุตสาหกรรมได้อนุมัติมาตรฐาน TIS ใหม่สำหรับเครื่องสำอางถึง 8 มาตรฐาน ซึ่งครอบคลุมด้านความปลอดภัย เช่น การทดสอบจุลชีวะ การตรวจหาสิ่งปนเปื้อน และการกำหนดนิยามของวัตถุดิบธรรมชาติและออร์แกนิก
- การควบคุมโฆษณาและการเรียกร้องคุณสมบัติสินค้า: ในเดือนกันยายน 2024 (พ.ศ. 2567) อย. (Thai FDA) ได้ออกคู่มือการโฆษณาเครื่องสำอางฉบับปรับปรุง เพื่อจำกัดการโฆษณาที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด เช่น การอ้างอิงคุณสมบัติที่เกินจริงหรือไม่สามารถพิสูจน์ได้
- การตรวจสอบและบังคับใช้หลังการวางจำหน่าย: อย. (Thai FDA) ได้เร่งรัดการตรวจสอบสินค้าที่เข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งดำเนินการปราบปรามสินค้าปลอมและสินค้าที่ไม่ได้ผ่านการขึ้นทะเบียนอย่างเข้มงวด
- การปรับให้สอดคล้องกับมาตรฐานอาเซียนและระดับสากล: ไทยยังคงมีความพยายามที่จะปรับกฎระเบียบให้สอดคล้องกับแนวทางของอาเซียน (ASEAN Cosmetic Directive) และมาตรฐานสากล (เช่น ISO, International Organization for Standardization) เพื่อส่งเสริมการส่งออกและความน่าเชื่อถือในตลาดโลก
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างกรอบการควบคุมคุณภาพที่ชัดเจนและเข้มแข็งขึ้น เพื่อชดเชยข้อบกพร่องของการควบคุมตนเองของผู้ผลิต
ความท้าทายในห่วงโซ่อุปทาน
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างกรอบการควบคุมคุณภาพที่ชัดเจนและเข้มแข็งขึ้น เพื่อชดเชยข้อบกพร่องของการควบคุมตนเองของผู้ผลิต
- ความไม่โปร่งใสและความแตกกระจาย: ห่วงโซ่มีลักษณะค่อนข้างกระจัดกระจาย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตรายเล็ก ที่ทำให้เกิดความไม่สม่ำเสมอของคุณภาพ และทำให้ยากต่อการนำระบบ IQAVs (Independent Quality Assurance Verifiers) มาใช้ในการตรวจสอบภายนอก
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มีผลต่อห่วงโซ่อุปทาน
เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบการจัดการและการควบคุมคุณภาพในห่วงโซ่อุปทานเครื่องสำอางของไทย ดังนี้:
- ระบบดิจิทัลสำหรับการปฏิบัติตามกฎระเบียบ: อย. (Thai FDA) ได้พัฒนาระบบ e-submission สำหรับการแจ้งและติดตามผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ซึ่งช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลและการตรวจสอบทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ซอฟต์แวร์จัดการห่วงโซ่อุปทานและ IoT (Internet of Things): ผู้ผลิตรายใหญ่เริ่มนำระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) และเซ็นเซอร์ IoT มาใช้ในการตรวจสอบคุณภาพระหว่างการผลิตและการเก็บรักษาสินค้า เพื่อติดตามคุณภาพของวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ในแต่ละล็อตอย่างต่อเนื่อง
- เทคโนโลยีห้องปฏิบัติการอัตโนมัติ: การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น HPLC (High-Performance Liquid Chromatography) และระบบทดสอบจุลชีวะอัตโนมัติ ช่วยให้การตรวจสอบความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์มีความแม่นยำและรวดเร็วขึ้น
- บล็อกเชน (Blockchain) และโซลูชันการติดตามสินค้า: มีการทดลองใช้เทคโนโลยี บล็อกเชน (Blockchain) เพื่อเพิ่มความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน โดยสามารถติดตามที่มาของวัตถุดิบและกระบวนการผลิต ตั้งแต่โรงงานจนถึงมือผู้บริโภค
- การเฝ้าระวังในแพลตฟอร์ม e-commerce: เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI (Artificial Intelligence) สามารถสแกนและตรวจจับสินค้าปลอมในตลาดออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เจ้าหน้าที่และแบรนด์สามารถระบุสินค้าและผู้จำหน่ายที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบได้รวดเร็ว
- การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับตัวตอบสนองตลาด: บริษัทเครื่องสำอางในไทยเริ่มใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียและระบบวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์ความต้องการของตลาด ซึ่งช่วยให้สามารถปรับกระบวนการผลิตและควบคุมคุณภาพได้ทันเวลา
เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยสนับสนุนให้กระบวนการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพมีความแม่นยำและโปร่งใสมากขึ้น แต่ก็ต้องทำงานร่วมกับมาตรฐานและการควบคุมโดยบุคคลที่สามเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
- ช่องว่างในระบบการควบคุมตนเอง: ด้วยการเปลี่ยนไปใช้การควบคุมหลังการวางจำหน่าย หลายครั้งที่ปัญหาที่พบในฉลากหรือการประกาศส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ส่งผลให้เกิดปัญหาความน่าเชื่อถือของแบรนด์
- สินค้าปลอมและสินค้าขายใต้เงื่อนไขที่ผิดกฎหมาย: ตลาดเครื่องสำอางที่มีมูลค่าสูงดึงดูดผู้ผลิตสินค้าปลอมเข้าสู่ตลาด ซึ่งสินค้าปลอมเหล่านี้มักจะไม่มีการตรวจสอบคุณภาพและอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
- ความท้าทายด้านการบังคับใช้กฎระเบียบ: ผู้ผลิตรายเล็กมักขาดความรู้หรือทรัพยากรในการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างถูกต้อง ในขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการติดตามและตรวจสอบสินค้าในตลาด
- แรงกดดันทางเศรษฐกิจ: ความผันผวนของราคาวัตถุดิบและสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทำให้บางบริษัทอาจลดการลงทุนในกระบวนการควบคุมคุณภาพ เพื่อรักษากำไรที่ลดลง
- นวัตกรรมที่ก้าวรวดเร็ว: อุตสาหกรรมเครื่องสำอางมีนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาอย่างรวดเร็ว เช่น การใช้ส่วนผสมใหม่หรือเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง แต่กฎระเบียบมักจะตามไม่ทัน ทำให้เกิดช่องว่างในการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
บทบาทและผลกระทบของผู้ตรวจสอบคุณภาพอิสระ (IQAVs, Independent Quality Assurance Verifiers)
ผู้ตรวจสอบคุณภาพอิสระ (IQAVs, Independent Quality Assurance Verifiers) คือองค์กรหรือหน่วยงานที่ให้บริการตรวจสอบคุณภาพและความสอดคล้องของผลิตภัณฑ์โดยไม่ขึ้นกับผู้ผลิตเอง
- ในตลาดเครื่องสำอางของยุโรป ตัวอย่าง IQAVs เช่น NATRUE และ COSMOS มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในหมู่ผู้บริโภคและผู้ผลิต
- ในประเทศไทย แนวคิดของ IQAVs ในห่วงโซ่อุปทานเครื่องสำอางยังใหม่อยู่และยังไม่แพร่หลายนัก จนถึงปี 2023 นักวิจัยพบว่าในไทยยังไม่มีหน่วยงาน IQAV ที่ได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการ ทำให้การควบคุมคุณภาพส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบภายในของบริษัทเองและการตรวจสอบโดยหน่วยงานรัฐบาล
- ผลกระทบจากการขาด IQAVs นั้นเห็นได้ชัดจากกรณีที่ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพไม่ตรงตามที่ระบุออกสู่ตลาด ทำให้เกิดความเชื่อถือลดลงในหมู่ผู้บริโภค เช่น ปัญหาฉลากที่ระบุส่วนผสมไม่ถูกต้อง หรือการใช้วัตถุดิบที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถลดอายุของผลิตภัณฑ์และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้ อย่างไรก็ตาม แนวทาง IQAVs ของต่างประเทศเริ่มมีอิทธิพลต่อประเทศไทยในทางบวก
- บริษัทไทยบางรายเริ่มมองหาการรับรองมาตรฐานจากต่างประเทศ เช่น การได้รับการรับรอง COSMOS สำหรับผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก
- หน่วยงานรับรองฮาลาล (Halal Certification Bodies) ซึ่งมีการตรวจสอบทั้งในด้านความถูกต้องและความปลอดภัยของกระบวนการผลิต ก็มีบทบาทคล้ายกับ IQAVs ในบางกรณี
- ผู้ค้าปลีกและพันธมิตรทางการค้าระหว่างประเทศก็มีการเรียกร้องมาตรฐานคุณภาพที่สูงขึ้นสำหรับผู้ผลิตไทย เพื่อให้สามารถเข้าตลาดต่างประเทศได้
โดยสรุป การมีอยู่ของ IQAVs หรือการนำแนวคิดตรวจสอบคุณภาพโดยบุคคลที่สามมาใช้ มีแนวโน้มที่จะยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย ช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น
วิวัฒนาการของบทบาท IQAVs (Independent Quality Assurance Verifiers) ตั้งแต่ปี 2023
หลังจากปี 2023 มีสัญญาณที่ชัดเจนว่าบทบาทของ IQAVs กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน:
- การสนทนานโยบาย: นักวิจัยและผู้กำหนดนโยบายในไทยได้เริ่มนำเสนอแนวคิดการจัดตั้งหรือร่วมมือกับหน่วยงาน IQAV จากต่างประเทศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับคุณภาพสินค้าและสร้างความน่าเชื่อถือในอุตสาหกรรม
- ความร่วมมือในภาคอุตสาหกรรม: สมาคมต่าง ๆ เช่น TCOS (Thai Cosmetic Cluster Trade Association) ได้เริ่มทำหน้าที่คล้ายกับ IQAVs โดยจัดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ พัฒนาแนวทางมาตรฐาน และส่งเสริมให้ผู้ผลิตปฏิบัติตามแนวทางคุณภาพระดับสากล
- บริการตรวจสอบคุณภาพจากภายนอก: มีห้องปฏิบัติการและบริษัทที่ให้บริการตรวจสอบคุณภาพและรับรองมาตรฐาน (เช่น การตรวจสอบตามเกณฑ์ GMP หรือ ISO) เริ่มขยายตัวในประเทศไทย แม้ว่าอาจยังไม่ถูกเรียกว่า IQAV โดยตรง แต่มีบทบาทที่คล้ายคลึงกัน
- แรงกดดันจากผู้บริโภคและตลาด: ผู้บริโภคไทยในยุคปัจจุบันมีความตระหนักและแสดงความต้องการต่อความโปร่งใสของคุณภาพสินค้ามากขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์คุณภาพสินค้าที่ผิดพลาดในสื่อสังคม บริษัทต่าง ๆ จึงเริ่มหันมาใช้การตรวจสอบคุณภาพจากบุคคลที่สามมากขึ้นเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต
แนวโน้มดังกล่าวบ่งชี้ว่าบทบาทของ IQAVs กำลังค่อย ๆ ขยายตัวในตลาดไทย ทั้งในรูปแบบของการรับรองจากต่างประเทศและการนำแนวทางการตรวจสอบมาตรฐานมาใช้ภายในองค์กร
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการรับประกันคุณภาพ
เพื่อยกระดับห่วงโซ่อุปทานเครื่องสำอางในไทย บริษัทและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ได้นำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดมาใช้ ได้แก่:
- ปฏิบัติตามมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) และมาตรฐานสากล: ผู้ผลิตจำนวนมากเริ่มนำแนวทาง GMP เช่น ISO 22716 มาใช้เป็นพื้นฐานในการผลิตและตรวจสอบคุณภาพ
- การตรวจสอบโดยบุคคลที่สาม: แทนที่จะพึ่งพาห้องปฏิบัติการภายในบริษัทเท่านั้น หลายบริษัทเลือกส่งตัวอย่างสินค้าไปตรวจสอบที่ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง เพื่อทำการทดสอบความเสถียร ทดสอบจุลชีวะ ตรวจสอบโลหะหนัก และอื่น ๆ
- การรับรองและตราคุณภาพ: การได้รับการรับรองมาตรฐานอิสระ (เช่น ออร์แกนิก, ฮาลาล หรือการรับรองจาก IQAVs ระดับสากล) ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและบังคับให้ห่วงโซ่อุปทานรักษามาตรฐานตามที่กำหนด
- ระบบติดตามและตรวจสอบย้อนกลับ: การจัดทำระบบติดตามล็อตสินค้า ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบจนถึงการส่งมอบให้แก่ผู้บริโภค ช่วยให้สามารถเรียกคืนสินค้าได้อย่างรวดเร็วหากพบปัญหา
- ความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: ผู้ผลิตชั้นนำมักร่วมมือกับซัพพลายเออร์และสมาคมอุตสาหกรรมในการแลกเปลี่ยนความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
- การตรวจสอบความสอดคล้องกับกฎระเบียบ: บริษัทหลายแห่งมีการตรวจสอบภายในและตรวจสอบก่อนนำสินค้าออกสู่ตลาด เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์เป็นไปตามข้อกำหนดของ อย. (Thai FDA)
- การวางแผนรับมือความเสี่ยงและการเรียกคืนสินค้า: การมีแผนฉุกเฉินในกรณีที่พบปัญหาคุณภาพ เช่น การเรียกคืนสินค้าและการสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างทันท่วงที
แนวทางเหล่านี้ช่วยให้บริษัทในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยสามารถยกระดับมาตรฐานและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณฑ์ของตน
ประเด็นที่กำลังเกิดขึ้นและข้อพิจารณา
ในอนาคต ห่วงโซ่อุปทานเครื่องสำอางในไทยจะต้องเผชิญกับประเด็นและความท้าทายใหม่ ๆ ดังนี้:
- การจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ผู้บริโภคสมัยใหม่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ซึ่งหมายความว่าการจัดหาวัตถุดิบจากธรรมชาติจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
- ความปลอดภัยของส่วนประกอบใหม่ ๆ: การค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารเคมีและส่วนประกอบใหม่ ๆ อาจส่งผลให้มีการปรับปรุงข้อกำหนดและจำกัดการใช้สารบางชนิดในอนาคต
- การคุ้มครองข้อมูลผู้บริโภค: เมื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน การจัดการข้อมูลผู้บริโภคและการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลก็เป็นประเด็นที่สำคัญ
- ความผันผวนทางเศรษฐกิจและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ: การเปลี่ยนแปลงในอัตราแลกเปลี่ยนและนโยบายการค้าสามารถส่งผลกระทบต่อราคาวัตถุดิบและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ
- ผลกระทบจากการระบาดของโรคและความจำเป็นในการวางแผนต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน: ประสบการณ์จากโควิด-19 ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการมีแผนรับมือกับวิกฤตการณ์ในห่วงโซ่อุปทาน
- การใช้ AI (Artificial Intelligence) และเทคโนโลยีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์: เทคโนโลยี AI ที่ถูกนำมาใช้ในการพัฒนาสูตรหรือแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อาจทำให้เกิดความท้าทายในการตรวจสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากนวัตกรรมดังกล่าว
- การมีส่วนร่วมของผู้บริโภค: ผู้บริโภคที่มีการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์อย่างแพร่หลาย สามารถส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้ทันที หากพบปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพสินค้า
ประเด็นเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องให้ความสำคัญและร่วมมือกันแก้ไขในอนาคต
บทสรุปกับห่วงโซ่อุปทานเครื่องสำอางในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
ห่วงโซ่อุปทานเครื่องสำอางในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ โดยมีแนวโน้มที่จะยกระดับมาตรฐานคุณภาพให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ แนวโน้มล่าสุดในด้านการเติบโตของตลาด การปรับปรุงกฎระเบียบ และการใช้เทคโนโลยีล้วนส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าในกระบวนการควบคุมคุณภาพ
ผู้ตรวจสอบคุณภาพอิสระ (IQAVs, Independent Quality Assurance Verifiers) มีบทบาทสำคัญที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มช่องว่างในระบบควบคุมคุณภาพที่เกิดจากการพึ่งพาการควบคุมภายในของผู้ผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในตลาด หากมีการส่งเสริมและบูรณาการแนวคิด IQAVs ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ห่วงโซ่อุปทานเครื่องสำอางในไทยจะสามารถก้าวสู่มาตรฐานระดับสากลได้ในอนาคต
การร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล สมาคมอุตสาหกรรม ผู้ผลิต และ IQAVs ทั้งในรูปแบบขององค์กรในประเทศและต่างประเทศ จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับคุณภาพและสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในตลาดเครื่องสำอางไทย
แหล่งที่มา
- Panitsettakorn, W., Ongkunaruk, P., & Leingpibul, T. (2023). The present state of the cosmetics supply chain in Thailand and the prospective role of Independent Quality Assurance Verifiers (IQAVs) within the supply chain. Heliyon, 9(10), e20892
- ข้อมูลจาก องค์การอาหารและยาไทย (อย., Thai FDA) เกี่ยวกับ พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 (Cosmetics Act B.E. 2558, 2015)
- ข่าวสารและรายงานจาก ChemLinked, The Nation Thailand, Bangkok Post และ gov รวมถึงข้อมูลจาก สมาคมคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS, Thai Cosmetic Cluster Trade Association) และ สมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย (Thai Cosmetic Manufacturers Association)