บทความ
ค้นพบหนึ่งในความโชคร้ายของคนเวียดนามที่ซื้อของไทย
โปรแกรมตอนเช้าวันนี้ ผมและทีมงานไปพบลูกค้าคนนึง สนใจอยากได้สินค้าไทยเอาไปทำตลาดขายส่งที่เวียดนาม ได้ข้อมูลน่าสนใจดีๆเยอะครับ
พี่แว่นคนนี้เค้าเปิดหน้าร้านเป็นร้านขายยา ชั้นสองพี่เค้าเอาไว้สต็อกสินค้าสำหรับขายส่งขายไปที่ทางฮานอยและเมืองอื่นๆ ตามการสั่งซื้อออนไลน์ ขึ้นไปที่ห้องพี่เค้า เราใช้สายตาควานหาสินค้าแบรนด์ไทย มีหลายแบรนด์มากครับ เช่น Q’Care White, Be Be Special Cream, Arron ส่วนใหญ่ไม่รู้จักครับ มีเฉพาะแบรนด์ Kiss Skincare และ ele ที่ผมรู้จักครับ
สรุปเป็นประเด็นที่น่าสนใจของการทำตลาด Wholesale เครื่องสำอางแบรนด์ไทย ในประเทศเวียดนามได้ดังนี้ครับ
1. คนเวียดนามนิยมเอาเครื่องสำอางไทยมาขาย เพราะผู้บริโภคชาวเวียดนามไม่มั่นใจสินค้าจีน ตอนนี้สินค้าที่มาแรงและเป็นคู่แข่งสินค้าไทย คือครีมเกาหลีครับ
2. ราคาขายปลีกถือว่าอยู่ในช่วงที่ต่ำมากครับ สำหรับตลาดล่างครีมบางชนิดราคาต่ำได้ถึงชิ้นละ 40 บาท (กล้าใช้หรอวะเนี่ย)
3. ยังมีช่องว่างระหว่างสินค้าตลาดล่างกับสินค้าตลาดบนห่างกันมากเพราะของถูกก็ดูต่ำต้อย ด้อยค่ามาก ส่วนของตลาดบนก็วางอยู่ในห้าง ยากที่คนทั่วไปจะซื้อใช้
4. Wholesaler ส่วนใหญ่ โชว์แค่สินค้าและบอกราคา แต่ไม่มีการแนะนำสินค้า ไม่ต้องมีเรื่องราวอะไร เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมยังไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า
ผมสงสัยว่าทำไมแบรนด์ไทยธรรมดาๆ หลายๆแบรนด์มาไกลถึงโฮจิมินห์ ว่าแล้วก็ขอพี่แว่นแกะเพื่อดูเนื้อครีม ตัวแรกครีมขมิ้น เป็นครีมที่ติดสติ๊กเกอร์ชื่อแบรนด์บริเวณฝาเท่านั้น ไม่มีกล่อง ดูจากลักษณ์เนื้อครีม ทราบเลยว่าใส่กรดวิตามินเอ (Retinoic Acid) หนึ่งในสารต้องห้ามของอย.ประเทศไทย อีกตัวเป็น Whitening Cream เค้าบอกได้ผลดีมาก พอเห็นและได้สัมผัสเนื้อครีม ก็รู้ว่าเป็นครีมที่มีสารปรอท (Mercury) สารต้องห้ามอีกรายการของอย.ประเทศไทย
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ครีมพวกนี้จะขายได้ดี เพราะเป็นครีมที่มีสารต้องห้าม ทำง่าย ต้นทุนต้องบอกว่า “โคตรถูก” แต่ใช้ไปสักพัก หนังหน้าที่มีปัญหาอยู่แล้ว ปัญหาอาจหนักกว่าเดิมนะครับ
คนไทยนอกจากจะทำสินค้าที่มีสารต้องห้ามมาขายภายในประเทศหลอกขายคนต่างจังหวัดกันไปได้เยอะแล้วยังมีน้ำใจเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามด้วยเช่นกัน
ยินดีต้อนรับ AEC !!