เสร็จ แต่ไม่สำเร็จ ในวงการวิจัย (Active Ingredient)
เสร็จ แต่ไม่สำเร็จ ในวงการวิจัย (Active Ingredient)
งานวิจัยที่เสร็จไม่ได้แปลว่าจะสามารถนำไปใช้ได้กับภาคเอกชนเสมอไป
ถ้างานวิจัยที่สำเร็จ ถูกชี้วัดด้วยการถูกนำไปใช้ประโยชน์
วันนี้ผมจะมาเล่าผ่านประสบการณ์ และมุมมองของภาคเอกชนอุตสาหกรรม Health & Beauty
ที่มีโอกาสได้ร่วมทุนในงานวิจัย ลงทุนในงานวิจัย สนับสนุนทุนวิจัย รวมกว่า 50 โครงการ
มีอะไรที่จะกลายเป็นความท้าทายของภาครัฐ และเอกชน ที่ทำให้งานวิจัยไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง
กรณีตัวอย่างที่ 1 สารสำคัญจากพืชที่เอาไปใช้กับอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
สารสำคัญจากส่วนของพืช เช่น ดอกไม้ ใบไม้ ลำต้น ราก เปลือก หรือ เมล็ด
เมื่อสกัดสารออกมา ทดสอบแล้วได้ผลลัพธ์ดี ทดสอบแล้วว่าไม่เป็นพิษในระดับเซลล์
แต่พืชเหล่านี้ ไม่มีประวัติการกินถึง 15 ปี รับการถ่ายทอดไป ก็ติดเรื่องการขึ้นทะเบียน
ต้องไปตบตีกับอย.อีกพักใหญ่ และต้องมาทดสอบความเป็นพิษกับสัตว์ทดลองอีก
กรณีที่ต้องร่วมทุน หรือเอาไปลงทุนวิจัยต่อ ประเด็นเหล่านี้เอกชนต้องทำความเข้าใจ
ไม่เหมาะสำหรับรายที่ต้องการนำไปใช้ค้าขายเลยทันที
กรณีตัวอย่างที่ 2 Stability Test ของเธอกับฉันมันไม่เหมือนกัน
งานวิจัยที่วิจัยเสร็จ ด้วยข้อจำกัดของงบประมาณ และถูกกำหนดให้ส่งมอบงานให้ทันระยะเวลาทุน
ถ้าเป็นสารสำคัญในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางหรืออาหารเสริม
ต้องมีการทดสอบความคงตัวของสารสำคัญนั้นๆ ในเงื่อนไขการจัดเก็บที่แตกต่างกัน
หรือคำนึงถึงบริบทของอุตสาหกรรมนั้นๆ เช่น ทำสารนาโนออกมา
เงื่อนไขการจัดเก็บของงานวิจัยที่ทำไว้คือเก็บที่ -4 องศา
ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นก็ไม่เป็นนาโน แยกชั้น และเสียสภาพ
แล้วเอกชนถ่ายทอดมาผลิตเพื่อจำหน่ายต่างประเทศ แบบนี้ตอนขนส่งทำอย่างไร ต้องไปตามบริษัทขนส่งที่มีระบบควบคุมความเย็น (Cold Chain Logistics) มาส่งก็ต้นทุนสูง
ไม่งั้นก็ต้องลงทุนทำวิจัยต่อด้วยเงินอีกก้อนครับ
กรณีตัวอย่างที่ 3 สารสำคัญ (Ingredient) แปรสภาพหรือเสียสภาพได้
งานวิจัยที่เสร็จ อาจจะจบแค่ ณ Ingredient Stage คือทำได้ออกมาต้นเป็นสารสำคัญ
รู้เปอร์เซ็นต์ของการใช้ รู้เปอร์เซ็นต์ที่ไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษ แต่งานวิจัยนั้น
อาจไม่ครอบคลุมถึงการนำไปใช้ประโยชน์ เมื่อเราเอาลงสูตรตำรับ
เพราะตอนลงสูตร สารเหล่านั้นมันอาจจะเปลี่ยนสภาพ เสียสภาพ สีเปลี่ยน
หรือไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์เหมือนตอนวิจัยตอนแรก เช่น สารตระกูลเอนไซม์
สารในกลุ่ม Biopigment ที่สีเปลี่ยนเมื่อเจอระดับความเป็นกรด – ด่าง ที่เปลี่ยนไป
(ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น จะยังออกฤทธิ์เหมือนเดิมหรือไม่ ต้องพิสูจน์โดยการวิจัยต่อ)
กรณีตัวอย่างที่ 4 ออกเอกสารที่ใช้ในอุตสาหกรรมไม่ได้ !!
ซึ่งนักวิจัยหรือโจทย์ของทุนวิจัยไม่ได้มีการกำหนดไว้ ตามบริบทของอุตสาหกรรม
มาตรฐานของเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในอุตสาหกรรมเอาไว้ มาดูตัวอย่างเอกสารที่ควรมี
– MSDS: Material Safety Data Sheet เกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของสาร
– TDS: Technical Data sheet เกี่ยวกับข้อมูลทางเทคนิคในการใช้สาร
– Specification Sheet ข้อมูลจำเพาะเพื่อระบุลักษณะทางกายภาพและเคมีของสาร
– COA: Certificate of Analysis ข้อมูลระบุลักษณะทางกายภาพและเคมีของสารตามล็อต
จริงๆเอกสารเหล่านี้ผู้ผลิตสารสำคัญจะเป็นผู้ดำเนินการ
แต่ถ้าดูความพร้อมของงานวิจัย ใช้เอกสารเหล่านี้เป็นเกณฑ์ความพร้อมได้
ถ้าไม่มีก็เป็นหน้าที่ของเอกชนที่สนใจ จะต้องผลักดันเพื่อให้เกิดสิ่งเหล่านี้
กรณีตัวอย่างที่ 5 สิทธิ์ของงานวิจัยที่ผูกติดกับเงื่อนไขของแหล่งทุน
นักวิจัยหรือหน่วยวิจัย ที่ต้องพึ่งพาแหล่งทุนวิจัย (ด้วยเงื่อนไขของการขอทุนวิจัย บางที่เป็น KPI)
หลายครั้งเอกชนเจองานวิจัยที่น่าสนใจ แต่การเจรจาเรื่องสิทธิ์อาจจะเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงงานวิจัย
เช่น คนทำงานวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาลัย พอสนใจต้องไปคุยกับ TLO (Tech-Licensing Officer)
พอคุย TLO เสร็จต้องไปเจรจากับแหล่งทุน หรือมีกระบวนการที่ต้องรอ
รอ – อัพเดท – รอ – นัดประชุม – รอ – อัพเดท – นัดประชุม Move on เป็นวงกลม
สุดท้ายเอกชนจะเดินหนีไป ไม่ใช่เพราะว่าไม่อยากได้งานวิจัย
แต่เพราะสิ่งที่มีคุณค่าและสำคัญมากกว่าสำหรับเอกชนคือ “เวลา”
เห็นด้วย เห็นต่าง แย้งได้ครับ
ใครที่เจอประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไปมาร่วมแสดงความเห็นกันได้ครับ
หรือใครที่อยากปรึกษาเกี่ยวกับการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ลอง Inbox มาคุยกันครับ
สามารถอ่านทบความ เสร็จ แต่ไม่สำเร็จ ในวงการวิจัย (Active Ingredient) และอื่นๆได้ที่นี่
วุฒิพงษ์ ผาณิตเศรษฐกร (วุฒิ)