ลายพิมพ์และสารบ่งชี้ทางชีวภาพ “Fingerprint” และ “Biomarker” สู่การยกระดับสินค้าเกษตร/ชุมชน
ในโลกของการแข่งขันทางการตลาดปัจจุบัน การสร้าง ความแตกต่าง (Differentiation) ให้กับสินค้าเกษตรหรือสินค้าชุมชนถือเป็นภารกิจสำคัญ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ชุมชนท้องถิ่น และผู้ประกอบการต่างให้ความสนใจในการ “เพิ่มมูลค่า” และ “ยกระดับ” ผลิตภัณฑ์ของตนให้โดดเด่นและน่าเชื่อถือ ไม่ใช่เพียงในแง่ของคุณภาพเบื้องต้น แต่รวมถึง เอกลักษณ์เฉพาะ ที่พิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม
หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ คือการใช้ “Fingerprint” (รหัสเฉพาะหรือลายพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์) และ “Biomarker” (สารบ่งชี้ทางชีวภาพ) เพื่อวิเคราะห์และยืนยัน ลักษณะเฉพาะ ของสินค้าในเชิงลึก ช่วยให้ผู้บริโภคและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับความมั่นใจมากขึ้นว่าผลิตภัณฑ์นั้นมี ความแตกต่างจริง และ สอดคล้องกับภูมิศาสตร์หรือวัฒนธรรมการผลิต ที่อาจเกี่ยวพันกับ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) หรือมาตรฐานอื่น ๆ ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ควรย้ำว่า “การวัดปริมาณสาร (Biomarker) หรือการทำ Fingerprint” ไม่ใช่ข้อกำหนดบังคับสำหรับการขึ้นทะเบียน GI ทุกชนิดเสมอไป หลายครั้งผู้ผลิตสามารถยื่นขอ GI โดยอ้างอิงถึง ประวัติความเป็นมา วัฒนธรรมท้องถิ่น หรือลักษณะทางกายภาพและประสาทสัมผัส ได้เช่นกัน แต่การมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ “อาจ” ยืนยันลักษณะเฉพาะได้ จะช่วย สร้างความน่าเชื่อถือ และ มูลค่าเพิ่ม ให้กับสินค้าได้อย่างมาก
ในบทความนี้ บริษัท ทีไอบีดี จำกัด (TIBD) ในฐานะที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมและการพัฒนาธุรกิจ ขอแนะนำแนวทางการใช้ Fingerprint/Biomarker เป็นเครื่องมือช่วยยกระดับสินค้าเกษตรและสินค้าชุมชนให้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยเราจะอธิบายพื้นฐาน ประโยชน์ และ ศักยภาพ ของแนวทางนี้ พร้อมทั้งสอดแทรกการทำงานของ TIBD ที่สามารถสนับสนุนภาคส่วนต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายได้
Fingerprint และ Biomarker: ความหมายและประโยชน์
นิยาม “Fingerprint”
“Fingerprint” ในบริบทของสินค้าเกษตรหรือสินค้าชุมชน หมายถึง ลายพิมพ์ ทางวิทยาศาสตร์ หรือ รหัสจำเพาะ ที่วิเคราะห์ได้จาก สารประกอบเคมี, จุลินทรีย์, ลักษณะกายภาพ, หรือ สัดส่วนส่วนประกอบ ของสินค้า ซึ่งอาจช่วยบ่งชี้ ที่มา (origin) และ ความแตกต่าง ระหว่างสินค้าที่มาจากภูมิศาสตร์หรือสายพันธุ์ที่ต่างกัน แนวทางนี้มักอาศัย เทคนิคทางห้องปฏิบัติการ (Laboratory Analysis) เช่น สเปกโตรสโคปี (Spectroscopy), โครมาโตกราฟี (Chromatography), รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยชีวสารสนเทศ (Bioinformatics) เป็นต้น
นิยาม “Biomarker”
“Biomarker” หรือ สารบ่งชี้ทางชีวภาพ คือสารหรือชุดของสาร (อาจเป็นโปรตีน เอนไซม์ สารประกอบอินทรีย์ โมเลกุลฟีนอล ฯลฯ) ที่พบในพืชหรือสัตว์ และมีความสัมพันธ์กับลักษณะเฉพาะบางอย่างของผลิตภัณฑ์ เช่น รสชาติ, กลิ่น, สี, ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ, หรือ ผลต่อสุขภาพ การตรวจวัด Biomarker จึงสามารถบอก คุณภาพ และ ความเป็นเอกลักษณ์ ของสินค้าชุมชนนั้นได้

ตัวอย่างการรายงานผลการวิเคราะห์ Mitragynine ด้วยเทคนิค HPLC จากรูป แสดงโครมาโตแกรมของ Mitragynine
ประโยชน์ของ Fingerprint/Biomarker ในสินค้าเกษตร/ชุมชน
- พิสูจน์เอกลักษณ์/ความแท้ (Authenticity) ช่วยป้องกันการปลอมแปลงหรือนำสินค้าอื่นมาแอบอ้างชื่อ เพราะสามารถชี้ให้เห็น “รหัสเฉพาะ” ของผลิตภัณฑ์จริง ๆ ที่มาจากแหล่งท้องถิ่น
- เพิ่มความน่าเชื่อถือในตลาดสากล ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ การมีผลทดสอบ Biomarker จะทำให้สินค้าดู “น่าเชื่อถือ” และพร้อมจ่ายในราคาสูงกว่า
- ส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาต่อเนื่อง เมื่อทราบองค์ประกอบหรือกระบวนการผลิตที่ส่งผลต่อ Biomarker ผู้ผลิตสามารถปรับปรุงพันธุ์หรือกรรมวิธี เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- อาจช่วยเสริมการขอ GI หรือมาตรฐานอื่น ไม่ได้เป็นเงื่อนไขบังคับ แต่เป็น “ตัวเลือก” ในการเพิ่มน้ำหนักให้กับเอกสารหรือข้อพิสูจน์ด้านคุณภาพ/ลักษณะเฉพาะเมื่อขอการรับรองสินค้าระดับต่าง ๆ
สามารถติดต่อ บริษัท ทีไอบีดี จำกัด (TIBD) ได้ทุกช่องทาง เรามีทีมที่พร้อม รับฟัง และ แนะนำ แนวทางวิจัยและพัฒนาที่เหมาะสม เพื่อให้สินค้าเกษตร/ชุมชนของท่านเปล่งประกายโดดเด่นอย่างแท้จริง
ความเกี่ยวพันระหว่าง Fingerprint/Biomarker กับการขึ้นทะเบียน GI
GI (Geographical Indication) คืออะไร
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546 หมายถึง สัญลักษณ์ ชื่อเรียก หรือสิ่งที่ใช้ระบุแหล่งภูมิศาสตร์ของสินค้า ที่ทำให้ผู้บริโภครับรู้ว่าสินค้าจากแหล่งนั้นมีคุณภาพ ชื่อเสียง หรือคุณลักษณะพิเศษ อันเนื่องมาจาก สภาพภูมิศาสตร์และกรรมวิธีดั้งเดิม
จำเป็นต้องวัด Biomarker เพื่อขึ้นทะเบียน GI หรือไม่
- ไม่จำเป็นต้องวัดสารเสมอไป หลายกรณีการขอ GI อาจเน้นแสดงข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา วัฒนธรรม วิธีการผลิตแบบดั้งเดิม สภาพดินฟ้าอากาศ และผลประเมินประสาทสัมผัส (รสชาติ กลิ่น สี) โดยไม่ต้องวัดสารประกอบเชิงลึก
- แต่การมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อาจเป็นหลักฐานเสริม หากผู้ผลิตหรือหน่วยงานต้องการ “ความแน่นหนา” ทางหลักฐาน สามารถเลือกใช้การวิเคราะห์ Fingerprint/Biomarker มาพิสูจน์คุณภาพและเอกลักษณ์ในเชิงเคมี/ชีวภาพได้ เช่น สารหอมเฉพาะตัวของข้าวหอม สารฟีนอลในกาแฟ เป็นต้น
ประโยชน์ของการใช้ Biomarker เสริมเอกสาร GI
- สร้างความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง หากสินค้าหลายพื้นที่มีชื่อคล้ายกัน การแสดง “ลายพิมพ์ทางเคมี” สามารถทำให้สินค้าโดดเด่นมากขึ้น
- เตรียมความพร้อมสู่ตลาดสากล ข้อมูล Biomarker อาจเป็นที่ต้องการในบางประเทศที่มีกฎด้านอาหารเข้มงวด หรืออาจใช้เป็นเอกสารอ้างอิงเพิ่มเติมในการส่งออก

บริการของ TIBD: พัฒนา Fingerprint/Biomarker ครบวงจร
ทำไมต้องเลือก TIBD
บริษัท ทีไอบีดี จำกัด (TIBD) มีจุดแข็งในการผสมผสานความเชี่ยวชาญด้าน วิทยาศาสตร์ กับ การตลาดและนวัตกรรม ทีมงานของเรามีประสบการณ์ทั้งในด้านการวิจัย (R&D) การวิเคราะห์สารทางห้องปฏิบัติการ ตลอดจนการสร้างแบรนด์ (Branding) และการพัฒนาธุรกิจ (Business Development) จึงสามารถให้คำปรึกษาและดำเนินการ “One-Stop Service” ได้ครบถ้วน
ขอบเขตบริการหลัก
- วิเคราะห์ผลิตภัณฑ์เบื้องต้น (Product Assessment) ศึกษาความต้องการของผู้ผลิตหรือหน่วยงาน ทำความเข้าใจวัตถุประสงค์ในการระบุตัวตนทางวิทยาศาสตร์ของสินค้า
- วางแผนและออกแบบกระบวนการวิจัย ทีมงาน TIBD ช่วยกำหนดวิธีการวิเคราะห์สารที่เหมาะสม เช่น การตรวจวัดสารหอม (Aroma Compounds) การวิเคราะห์โปรไฟล์จุลินทรีย์ หรือการตรวจจับสารต้านอนุมูลอิสระ
- ดำเนินการเก็บตัวอย่างและทดสอบในห้องปฏิบัติการ เรามีพันธมิตรห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน พร้อมเทคโนโลยีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทันสมัย
- สรุปผลและให้คำแนะนำ แปลผลวิจัยให้อยู่ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย และชี้ให้เห็นถึงจุดแข็ง/จุดปรับปรุงของสินค้า เพื่อใช้ต่อยอดทั้งในเชิงคุณภาพและการตลาด
- ต่อยอดสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และ Branding TIBD มีบริการเสริมในการ ออกแบบแบรนด์ (Brand Identity) สร้างสตอรี่ (Storytelling) และทำการตลาดเชิงกลยุทธ์
ประโยชน์ที่หน่วยงานภาครัฐและชุมชนจะได้รับ
หน่วยงานภาครัฐ
- สร้างฐานข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ของสินค้าในพื้นที่ สามารถจัดทำ “ฐานข้อมูล (Database)” ของ Biomarker หรือ Fingerprint ของผลิตภัณฑ์สำคัญในแต่ละจังหวัด เพื่อใช้ในการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน
- สนับสนุนการจด GI หรือมาตรฐานอื่น ๆ หากชุมชนต้องการขอ GI หรือมาตรฐานเชิงคุณภาพระหว่างประเทศ หน่วยงานภาครัฐก็มีข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่พร้อมสนับสนุน
ชุมชนหรือกลุ่มเกษตรกร
- ยกระดับคุณภาพสินค้า เมื่อทราบองค์ประกอบที่ส่งผลต่อคุณภาพและเอกลักษณ์ของสินค้า ก็สามารถปรับปรุงวิธีปลูก เก็บเกี่ยว หรือผลิตได้อย่างเจาะจง
- เพิ่มโอกาสทางการตลาด การนำเสนอ “รหัสเฉพาะ” ทางวิทยาศาสตร์ช่วยดึงดูดผู้บริโภคที่มองหาสินค้ามีเอกลักษณ์ แถมยังอาจทำราคาได้สูงขึ้น
ผู้ประกอบการ (SMEs/Startups/โรงงานแปรรูป)
- สร้างความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าเกษตรและแปรรูป ซึ่งผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพและแหล่งที่มา
- เตรียมพร้อมสำหรับการส่งออก หลายตลาดต้องการผลการทดสอบเชิงลึกหรือมาตรฐานสากล เมื่อมีข้อมูล Fingerprint/ Biomarker ก็ทำให้ง่ายขึ้นในการเจรจาการค้า
แนวทางการใช้ Fingerprint/Biomarker ในภาคเกษตรและชุมชน
ข้าวหอมมะลิ
ข้าวหอมมะลิไทยมีชื่อเสียงระดับโลก ทั้งในแง่ความหอมและรสชาติ หนึ่งในสารประกอบที่เป็น “Biomarker” สำหรับกลิ่นหอมคือ 2-อะเซทิล-1-ไพโรลลีน (2AP) ซึ่ง อาจ นำมาใช้เป็นแนวทางยืนยันเอกลักษณ์ของข้าวหอมมะลิจากพื้นที่เฉพาะได้ เช่น จัดทำโปรไฟล์ของ 2AP ในแหล่งปลูกที่มีปัจจัยดินฟ้าอากาศแตกต่างจากพื้นที่อื่น ทั้งนี้ การกำหนดเกณฑ์ปริมาณ 2AP ที่ชัดเจนอาจช่วยชุมชนหรือหน่วยงานรัฐในการสื่อสารว่า “ข้าวหอมมะลิแท้ในเขตพื้นที่นี้มีระดับ 2AP ที่สูงกว่าหรืออยู่ในช่วง…” เป็นต้น
หมายเหตุ: กรณีใช้ข้อมูลนี้ในเอกสารจด GI อาจต้องผนวกข้อมูลทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และผลประเมินประสาทสัมผัสร่วมด้วย และ ยังไม่จำเป็นต้องวัดทุกกรณี ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของผู้ขอ


กาแฟจากดอยสูง
กาแฟดอยทางภาคเหนือของไทย เช่น ดอยช้าง ดอยตุง มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ การวัดสารกลุ่มฟีนอล หรือสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง กรดคลอโรจีนิก (Chlorogenic acid) อาจ ใช้เป็นแนวทางยืนยันมาตรฐานและจุดแตกต่างด้านรสชาติ (Flavor Profile) รวมถึงประโยชน์ต่อสุขภาพ นอกจากนี้ การศึกษาชนิดจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในดินหรือขั้นตอนการหมักเมล็ดกาแฟก็ อาจ เป็น “Fingerprint” เชิงจุลชีววิทยาได้เช่นกัน
เครื่องดื่มหมักและผลิตภัณฑ์แปรรูปผลไม้
ในสินค้ากลุ่มนี้ “Unique Strain” ของจุลินทรีย์เฉพาะถิ่น (Local Microbial Strain) อาจมีบทบาทสำคัญต่อกลิ่นและรสชาติ เครื่องดื่มหมัก ผลไม้ดอง หรือผลิตภัณฑ์หมักชนิดอื่น ๆ เช่น ไวน์ผลไม้ ไซเดอร์ น้ำส้มสายชูหมักดั้งเดิม ชุมชนสามารถ ศึกษาและคัดแยกจุลินทรีย์ ที่พบในสภาพภูมิศาสตร์นั้น ๆ เพื่อนำมาสร้าง “Fingerprint จุลชีววิทยา” ที่ไม่ซ้ำกับแหล่งอื่น การมีข้อมูลนี้จะทำให้เรื่องเล่าของสินค้า (Brand Story) น่าสนใจและน่าเชื่อถือมากขึ้น
ข้อสังเกต: ตัวอย่างทั้งหมดนี้เป็น “แนวทาง” ที่ผู้ผลิตหรือหน่วยงาน อาจ เลือกใช้ ไม่ได้หมายความว่าทุกกระบวนการจด GI จะมีการวัดสารเหล่านี้จริงเสมอไป

ขั้นตอนการทำงานร่วมกับ TIBD
- ติดต่อเบื้องต้น แจ้งรายละเอียดสินค้า วัตถุประสงค์ ตลอดจนงบประมาณที่ตั้งไว้ เบื้องต้น TIBD จะทำการประเมินความเป็นไปได้ (Feasibility)
- วางแผนกลยุทธ์ R&D ทีมงานจะช่วยออกแบบวิธีการวิจัยและวิเคราะห์ Biomarker/Fingerprint ที่เหมาะสมกับประเภทสินค้าและแหล่งปลูก
- เก็บตัวอย่างและทดสอบในห้องปฏิบัติการ ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่ได้มาตรฐาน เช่น HPLC, GC-MS หรือการตรวจวัดเชิงชีววิทยาอื่น ๆ ตามความจำเป็น
- แปลผลและสื่อสารในเชิงการตลาด นำข้อมูลเชิงลึกมาสรุปให้อยู่ในรูปแบบ “เข้าใจง่าย” พร้อมแนะนำแนวทางสื่อสารต่อผู้บริโภค
การต่อยอดสู่ Branding และ Corporate Identity
หลังจากที่ได้ข้อมูล Fingerprint/Biomarker แล้ว “เรื่องเล่า” (Story) เกี่ยวกับ ลักษณะเฉพาะ และ ภูมิศาสตร์ จะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะยืนยันได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ TIBD พร้อมช่วยผู้ผลิตนำข้อมูลเหล่านี้มาต่อยอดเป็น Brand Identity ที่ชัดเจนและโดดเด่น ตัวอย่างเช่น:
- Storytelling เกี่ยวกับโมเลกุลสำคัญ เช่น “ข้าวหอมมะลิของเราโดดเด่นด้วย 2AP ที่อาจสูงกว่าค่าเฉลี่ย … เท่า ซึ่งสร้างความหอมเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร”
- การตลาดเชิงคุณค่า (Value-Based Marketing) ชี้ให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์มีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือสะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่น
- ดีไซน์แพ็กเกจจิ้งที่สื่อถึงเอกลักษณ์ สร้างโลโก้/สัญลักษณ์ที่สอดคล้องกับสารหรือจุลินทรีย์ที่เป็น “รหัสเฉพาะ” ของสินค้า
- รองรับการเข้าสู่ตลาดสากล การมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนแบรนด์จะสร้างความเชื่อมั่นในระดับนานาชาติ เพิ่มโอกาสในการส่งออก
แนวทางเปลี่ยนสินค้าเกษตร/ชุมชนสู่ความยั่งยืนด้วยวิทยาศาสตร์
Fingerprint และ Biomarker เป็นเครื่องมือเชิงวิทยาศาสตร์ที่ “อาจ” ช่วยยกระดับสินค้าเกษตรหรือสินค้าชุมชนให้มีมูลค่าและความแตกต่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น แม้ในทางปฏิบัติ การขึ้นทะเบียน GI หรือ การสร้างแบรนด์ จะไม่ได้บังคับให้ทุกสินค้าต้องวัดปริมาณสารเสมอไป แต่หากผู้ผลิตหรือหน่วยงานต้องการตอกย้ำ “คุณภาพ” และ “ความเป็นของแท้” อย่างเข้มข้น การศึกษาหรือตรวจวัด Biomarker/Fingerprint ก็อาจเป็นหลักฐานที่แข็งแกร่ง
หากท่านสนใจบริการของ TIBD
ต้องการ ปรึกษาเรื่อง Branding หรือ Corporate Identity
มีเป้าหมาย ต่อยอดสู่ตลาด ศึกษาความเป็นไปได้ทางการตลาด