รู้จัก GI และความสำคัญต่อเศรษฐกิจชุมชน
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication – GI) หมายถึง เครื่องหมายหรือชื่อที่ใช้เรียกสินค้าเพื่อบ่งบอกว่า “สินค้านั้นมาจากแหล่งภูมิศาสตร์เฉพาะ” ซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่ทำให้สินค้าเกิดคุณภาพ ชื่อเสียง หรือคุณลักษณะพิเศษอันแตกต่างจากสินค้าประเภทเดียวกันที่ผลิตจากที่อื่น ๆ ตัวอย่างชัดเจน เช่น ทุเรียนนนท์ (ทุเรียนเมืองนนทบุรี) ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ กาแฟดอยตุง หรือผ้าไหมยกดอกลำพูน เป็นต้น
ในประเทศไทย การขึ้นทะเบียน GI มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นกลไกช่วยคุ้มครองชื่อสินค้าพื้นบ้าน ป้องกันการนำชื่อสินค้าอันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนไปแอบอ้าง ตลอดจนเพิ่มโอกาสทางการตลาด สร้างมูลค่าเพิ่ม และกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน ทั้งยังช่วยส่งเสริมการรักษามาตรฐานคุณภาพสินค้าและอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นไปพร้อม ๆ กัน
จากข้อมูลล่าสุดของ กองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา (อัปเดต ณ วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2568) ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการขึ้นทะเบียน GI แล้ว รวมทั้งสิ้น 247 สินค้า แบ่งเป็น
- สินค้าไทยจำนวน 224 สินค้า ครอบคลุมครบ 77 จังหวัด แบ่งตามประเภท ได้แก่
- ภาคเกษตรกรรม: 152 สินค้า
- ภาคหัตถกรรม: 39 สินค้า
- ภาคอุตสาหกรรม: 33 สินค้า
- สินค้าจากต่างประเทศที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ในประเทศไทย: 23 สินค้า จาก 9 ประเทศ
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงการเติบโตของสินค้า GI ในไทยอย่างต่อเนื่อง และยังชี้ให้เห็นว่า ทุกจังหวัดในประเทศ ต่างก็มีสินค้าประจำถิ่นที่มีศักยภาพได้รับการยกระดับเป็นสินค้า GI ได้ตามเกณฑ์การขึ้นทะเบียนที่กรมทรัพย์สินทางปัญญากำหนด
เกณฑ์การขอขึ้นทะเบียน GI: อะไรบ้างที่ต้องคำนึง
ผู้ผลิตหรือชุมชนที่ต้องการยื่นขอขึ้นทะเบียน GI จำเป็นต้องแสดงคุณลักษณะและหลักฐานให้ครบถ้วน ซึ่งทางกองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้กำหนด 5 เกณฑ์สำคัญ ในการขอจดทะเบียน GI ไว้ ดังนี้
-
มีคุณภาพหรือลักษณะเฉพาะของสินค้า
ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสินค้าของตนเองมีลักษณะเฉพาะตัวหรือคุณภาพที่แตกต่างจากสินค้าประเภทเดียวกันที่ผลิตจากพื้นที่อื่น ๆ เช่น ความหอม รสชาติ สีสัน รูปร่าง เนื้อสัมผัส หรือคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีอื่น ๆ
2. ความสัมพันธ์ระหว่างสินค้ากับแหล่งผลิต
ต้องอธิบายถึงปัจจัยด้านภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ส่งผลให้สินค้ามีเอกลักษณ์เฉพาะ เช่น สภาพดินฟ้าอากาศ การใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม หรือภูมิปัญญาของคนในพื้นที่ ซึ่งเป็นต้นเหตุของคุณภาพหรือชื่อเสียงของสินค้า
3. มีประวัติความเป็นมาและเป็นที่ยอมรับ
ต้องแสดงหลักฐานว่า สินค้ามีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักมายาวนาน และได้รับความเชื่อมั่นหรือการยอมรับจากผู้บริโภค ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ หรือแม้แต่ระดับนานาชาติ
4. การกำหนดคุณภาพและกระบวนการควบคุมตรวจสอบชัดเจน
จำเป็นต้องจัดทำข้อกำหนดเกี่ยวกับมาตรฐานสินค้า ขั้นตอนการผลิต แหล่งที่มาของวัตถุดิบ ตลอดจนวิธีการตรวจสอบคุณภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้า GI แต่ละหน่วยการผลิตจะมีคุณภาพสม่ำเสมอตามข้อกำหนด
5. พื้นที่การผลิตชัดเจน และใช้วัตถุดิบหลักในพื้นที่
ต้องระบุขอบเขตพื้นที่ที่สินค้านั้นผลิตได้จริง (Geographical Boundary) และต้องใช้วัตถุดิบหลักหรือกระบวนการผลิตในพื้นที่ที่ขอขึ้นทะเบียน เพื่อสร้างความเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นระหว่างคุณลักษณะสินค้ากับภูมิศาสตร์ท้องถิ่น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียน GI ในประเทศไทย
กรมทรัพย์สินทางปัญญา (กระทรวงพาณิชย์)
เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการขึ้นทะเบียน GI ในประเทศไทย ผ่าน กองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ซึ่งดูแลงานด้านนี้โดยตรง ผู้ยื่นคำขอจะต้องจัดทำเอกสารตามที่กรมฯ กำหนด และสามารถปรึกษาเจ้าหน้าที่กองสิ่งบ่งชี้ฯ ในเรื่องการเตรียมเอกสารหลักฐานและข้อมูลทางเทคนิคต่าง ๆ
สำนักงานพาณิชย์จังหวัด
มีบทบาทในการทำงานเชิงพื้นที่ ผู้ผลิตหรือกลุ่มชุมชนสามารถยื่นคำขอขึ้นทะเบียน GI เบื้องต้น หรือขอคำปรึกษาได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัด ซึ่งจะเป็นผู้ประสานงานส่งเอกสารและติดตามกระบวนการกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาต่อไป
หน่วยงานสนับสนุนอื่น ๆ
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เช่น กรมส่งเสริมการเกษตร ที่ช่วยอบรม ให้คำแนะนำแก่เกษตรกรเกี่ยวกับการปรับปรุงคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐาน GI
- การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่สนับสนุนการโปรโมทสินค้า GI เชื่อมโยงสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงเกษตร
- สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) ที่สนับสนุนการใช้ทรัพยากรชีวภาพท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ฝ่ายนโยบายระดับสูงอย่าง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต่างให้ความสำคัญในการผลักดันสินค้า GI ให้เพิ่มจำนวนขึ้นต่อเนื่องในทุกจังหวัด โดยมีเป้าหมายเพิ่มช่องทางการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ตัวอย่างสินค้า GI ที่โด่งดังในประเทศไทย
การขึ้นทะเบียน GI ในไทยมีทั้งสินค้าเกษตร อาหารแปรรูป และงานหัตถกรรมพื้นบ้าน ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค อาทิ
ภาคเหนือ:
- กาแฟดอยตุง และ กาแฟดอยช้าง (เชียงราย) มีชื่อเสียงระดับโลก
- สับปะรดภูแล (เชียงราย) รสชาติหวานฉ่ำ
- ผ้าไหมยกดอกลำพูน (ลำพูน) ฝีมือประณีตและลวดลายโดดเด่น
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ:
- ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ (ร้อยเอ็ด ยโสธร สุรินทร์ มหาสารคาม ศรีสะเกษ) เป็นข้าวหอมมะลิขึ้นชื่อ
- เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง (อุดรธานี) มรดกทางวัฒนธรรม
- ผ้าไหมแพรวา (กาฬสินธุ์) ผ้าที่มีลวดลายละเอียดอ่อนช้อย
ภาคกลาง:
- ทุเรียนนนท์ (นนทบุรี) รสชาติเข้มข้น หอมมันเป็นเอกลักษณ์
- เครื่องปั้นดินเผาเกาะเกร็ด (นนทบุรี) งานหัตถกรรมที่สืบทอดมายาวนาน
- มะขามหวานเพชรบูรณ์ (เพชรบูรณ์) รสชาติหวาน กลิ่นหอมอ่อน ๆ
ภาคใต้:
- ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง (นครศรีธรรมราช) เนื้อสีแดงสวย รสหวานอมเปรี้ยวกลมกล่อม
- ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง (พัทลุง) คุณค่าทางโภชนาการสูง
- ไข่เค็มไชยา (สุราษฎร์ธานี) เค็มมันกำลังดี
- หมูย่างเมืองตรัง (ตรัง) ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติและกรรมวิธีการย่างพิเศษ
สินค้าทั้งหมดนี้ต่างมีจุดเด่นที่เชื่อมโยงกับท้องถิ่น ส่งผลให้ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ เมื่อได้รับการขึ้นทะเบียน GI ก็ยิ่งช่วยให้สินค้าเป็นที่รู้จักกว้างขวางและขายได้ราคาสูงขึ้น
ประโยชน์ของ GI ต่อผู้ผลิต ผู้บริโภค และการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
1. คุ้มครองชื่อสินค้า เพิ่มอำนาจต่อรอง
สินค้าที่ได้ขึ้นทะเบียน GI จะได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546 ทำให้ผู้ผลิตจากที่อื่นไม่สามารถนำชื่อ GI ไปแอบอ้างหรือปลอมแปลงได้ ช่วยป้องกันการสร้างความสับสนแก่ผู้บริโภค และรักษาชื่อเสียงที่ชุมชนสร้างสมมายาวนาน
2. เพิ่มมูลค่าตลาดและรายได้ให้ชุมชน
การติดตรา GI ทำให้สินค้าเป็นที่ต้องการในตลาดมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในคุณภาพและความเป็นเอกลักษณ์ ผลที่ตามมาคือ ราคาสินค้า สูงขึ้น และผู้ผลิตมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กรมทรัพย์สินทางปัญญาประเมินว่า มูลค่าการตลาดรวมของสินค้า GI ในประเทศไทยอาจสูงกว่าระดับ 7.1 หมื่นล้านบาทต่อปี หากมีการทำการตลาดอย่างเข้มข้น
3. กระตุ้นการรักษามาตรฐานคุณภาพ
ผู้ผลิตสินค้าต้องรักษามาตรฐานตามข้อกำหนด GI อย่างต่อเนื่อง เพื่อคงความเชื่อมั่นของตลาด ทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมกระบวนการผลิตแบบยั่งยืน ตลอดจนกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าในการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น
4. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์
สินค้า GI หลายรายการสามารถเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวได้ เช่น ไร่กาแฟดอยตุงหรือสวนทุเรียนนนท์ เมื่อนักท่องเที่ยวได้สัมผัสกระบวนการผลิตจริง ก็เกิดความประทับใจ ช่วยเพิ่มรายได้อีกทางให้ชุมชน
5. ผู้บริโภคได้รับสินค้ามาตรฐานสูง
เมื่อเห็น “ตรา GI” บนสินค้า ผู้บริโภคจะมั่นใจว่าเป็นสินค้าแท้จากแหล่งที่มาจริง มีกระบวนการผลิตและตรวจสอบคุณภาพตรงตามเกณฑ์ที่จดทะเบียนไว้ ช่วยเพิ่มตัวเลือกสินค้าคุณภาพสูงในท้องตลาด
6. ช่วยอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น
GI เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมให้คนในพื้นที่ยังคงรักษาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมการผลิตดั้งเดิม ไม่ต้องละทิ้งอาชีพ ถิ่นฐาน หรือวิถีชีวิตประจำถิ่น สร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนอย่างยั่งยืน
ความท้าทายและอุปสรรคในการพัฒนา GI
- ขาดความรู้ความเข้าใจของผู้ผลิต หลายชุมชนยังไม่ตระหนักถึงประโยชน์หรือขั้นตอนการขอ GI ทำให้ขาดการรวมกลุ่มพัฒนาสินค้าและเก็บรวบรวมหลักฐานอย่างเป็นระบบ
- การควบคุมมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง หลังได้ GI แล้ว ทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกันในการตรวจสอบคุณภาพของสินค้าอย่างเคร่งครัด บางกลุ่มยังขาดทรัพยากรหรือบุคลากรที่เพียงพอ
- ทักษะการทำการตลาดและบรรจุภัณฑ์ แม้ว่าสินค้าจะมีคุณภาพสูง แต่หากขาดการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การทำแบรนดิ้ง รวมถึงช่องทางการตลาดที่เข้มแข็ง ก็อาจทำให้สินค้า GI ไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวางหรือแข่งขันได้ยาก
- การบังคับใช้กฎหมายและปราบปรามการละเมิด แม้มีกฎหมายคุ้มครอง แต่การตรวจสอบสินค้าปลอมหรือการแอบอ้างชื่อ GI ก็ยังเป็นความท้าทาย เพราะต้องอาศัยการเฝ้าระวังของหน่วยงานรัฐและการตระหนักรู้ของผู้บริโภค
- ราคาสูงและการเข้าถึงสินค้า สินค้า GI มักมีราคาสูงขึ้น บวกกับช่องทางจำหน่ายที่บางครั้งจำกัด ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนอาจซื้อหายากหรือมองว่าสินค้ายังมีราคาแพง
- การจดทะเบียนในต่างประเทศ สำหรับสินค้าที่มีศักยภาพส่งออก กระบวนการขึ้นทะเบียน GI ในตลาดต่างประเทศต้องศึกษากฎหมายเฉพาะของประเทศปลายทาง มีค่าใช้จ่าย และใช้เวลานาน จึงจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอ
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: พ.ร.บ. คุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546
กฎหมายฉบับนี้บังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 และสอดคล้องกับข้อตกลง TRIPS ขององค์การการค้าโลก (WTO) มีสาระสำคัญคือกำหนดนิยาม “สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์” การขอจดทะเบียน การกำหนดโทษการละเมิดสิทธิ และการเพิกถอนทะเบียน เป็นต้น โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นหน่วยงานหลักในการรับคำขอจดทะเบียน GI พิจารณาอนุมัติ หรือเพิกถอน ปัจจุบันไทยยังไม่ได้เข้าเป็นภาคีในความตกลงลิสบอน (Lisbon Agreement) แต่ใช้กฎหมายภายในนี้ในการคุ้มครอง GI ได้อย่างครอบคลุม
บทบาทของ TIBD ในการสนับสนุนการขึ้นทะเบียน GI
ในฐานะที่ TIBD เป็นองค์กรที่มุ่งสนับสนุนด้านนวัตกรรมและการพัฒนาธุรกิจ บริษัทสามารถให้บริการคำปรึกษาและเชื่อมโยงความรู้เกี่ยวกับ การขึ้นทะเบียน GI แก่ผู้ประกอบการหรือกลุ่มชุมชนที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็น
- ให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ GI: อธิบายประโยชน์ ขั้นตอนการขอจดทะเบียน และเงื่อนไขที่ต้องเตรียมพร้อม
- การวางแผนและจัดทำเอกสาร: ช่วยรวบรวมหลักฐานทางวิชาการ ประวัติความเป็นมา และรายละเอียดด้านเทคนิคต่าง ๆ เพื่อใช้ในการยื่นคำขอกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา
- การพัฒนาคุณภาพสินค้า: สนับสนุนในเรื่องการปรับปรุงมาตรฐานกระบวนการผลิต การสร้างนวัตกรรม หรือการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดสากล
- การวางกลยุทธ์การตลาดสำหรับสินค้า GI: ช่วยให้ผู้ผลิตมีช่องทางในการโปรโมทสินค้า GI ทั้งในตลาดในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนแนะนำแนวทางสร้างแบรนด์และทำการสื่อสารการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ
- เชื่อมโยงเครือข่ายและพันธมิตร: หากผู้ผลิตต้องการจับมือกับพันธมิตรในภาคส่วนต่าง ๆ TIBD สามารถเป็นตัวกลางในการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ
ด้วยความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมและการพัฒนาธุรกิจ TIBD พร้อมเป็น “ที่ปรึกษามืออาชีพ” ช่วยผลักดันให้สินค้าของไทยก้าวสู่เวทีสากลได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะการเพิ่มศักยภาพของสินค้า GI ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก
GI เครื่องมือยกระดับท้องถิ่นให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำเรียกชื่อสินค้าที่บอกแหล่งผลิตเท่านั้น แต่คือ เครื่องมือทางการตลาดและกฎหมาย ที่ช่วยคุ้มครองสินค้าในท้องถิ่น เพิ่มคุณค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้ชุมชน และรักษาภูมิปัญญาอัตลักษณ์ของไทยให้อยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม กระบวนการการขึ้นทะเบียน GI นี้ยังเผชิญอุปสรรคหลายด้าน ทั้งการจัดทำข้อมูล กฎเกณฑ์ทางเทคนิค การรักษามาตรฐานสินค้า และการตลาดในระดับสากล ซึ่งที่ปรึกษาอย่าง TIBD สามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน ให้ผู้ประกอบการไทยสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดและสร้างโอกาสจากสินค้า GI ได้อย่างเต็มที่
เมื่อสินค้าได้รับการตีตรา GI ผู้บริโภคจะรู้สึกมั่นใจในคุณภาพ และพร้อมสนับสนุนสินค้าเหล่านั้นมากขึ้น เปิดประตูให้เกิดการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก สร้างงาน สร้างรายได้ให้คนในพื้นที่ อีกทั้งยังส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นให้ยังคงอยู่คู่สังคมไทยไปอย่างยาวนาน
หากผู้อ่านสนใจรับคำปรึกษาด้าน การขึ้นทะเบียน GI หรือโอกาสในการพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมอื่น ๆ สามารถติดต่อ TIBD ได้ทุกช่องทาง ทางเรายินดีให้บริการและร่วมผลักดันสินค้าไทยให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน คลิก